15 ปีที่ผ่านมา กับเจ้า E 200 NGT Avantgarde Sports ที่ใช้งานเป็นประจำ กับเลขระยะทางที่มาตรวัดกว่า 4.6 แสน กิโลเมตร เริ่มทำให้เราตระหนักว่าเราจะทำอย่างไรต่อกับมันดี เมื่ออายุไขของถังแก๊สนั้นเหลืออีกเพียง 3 ปีกว่า จะเบิกถังแก๊สใหม่ หรือ ถอดถังแก๊สเดิมออก?
เบิกถังใหม่ จะเท่าไหร่เชียว
W211 E 200 NGT ประกอบไปด้วยถังแก๊สจำนวน 4 ใบ
- ถังใบเล็กในหลุมยางอะไหล่ ขนาด 16 ลิตร จำนวน 2 ใบ
A 211 470 03 09 = 49,790 บาท - ถังใบใหญ่ล่าง หลังพนักพิงเบาะหลัง ขนาด 45.5 ลิตร จำนวน 1 ใบ
A 211 470 01 09 = 65,210 บาท - ถังใบใหญ่บน หลังพนักพิงเบาะหลัง ขนาด 30 ลิตร จำนวน 1 ใบ
A 211 470 02 09 = 49,790 บาท
รวมแล้วเป็นเงิน 214,580 บาท ที่ยังไม่ได้รวม Vat หรือภาษีอีก 7% นอกจากนี้ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ยังไม่นับรวมเข้าไป อาทิ ค่าแรงติดตั้ง แต่โอริง ซีลต่างๆที่ต้องเปลี่ยนเมื่อมีการถอดใส่ท่อแรงดันสูง เบ็ดเสร็จตีไว้ 2 แสนกลางๆ สุดท้ายราคาทะยานไป 50% ของราคารถในตลาดแล้ว
เนื่องจากถังแก๊สของ Mercedes-Benz NGT ในรุ่น W211 มีมากถึง 4 ถัง แถมยังมีรูปทรงเฉพาะไม่สามารถหาทดแทนตามท้องตลาดได้แน่นอน (ถ้าต้องการให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิมไม่ดัดแปลง) ซึ่งก็นับว่าเป็นการลงทุนที่สูงพอสมควร แต่ถ้ายังไม่ทำก็ไม่ใช้ประเด็นเพราะตอนนี้รถก็ยังใช้ได้ทุกระบบ
แต่อย่างไรก็ต้องวางแผนไว้เพราะคิดว่าในช่วง 3 ปีนี้คงไม่น่าจะได้ขาย W211 แน่นอน เพราะเป็นรถที่พื้นฐานดีรุ่นหนึ่งเลย ควรค่าแก่การเก็บรักษา แต่ถ้าเวลามาถึงเราจะทำอย่างไรต่อไป .. อันนี้คือประเด็น และจุดเริ่มต้นของโปรเจคนี้
ถอดชุดแก๊สออกเถอะ เกินคุ้มแล้ว
ในเมื่อการที่เราจะรักษาระบบ NGT ให้อยู่แบบ Top Form ไว้ต้องใช้งบประมาณอย่างน้อย 2 แสนกว่าบาท ซึ่งเทียบกับราคารถในตลาดก็ปาเข้าไป 50% แล้ว และยังไม่รวมความเสี่ยงที่ว่าในวันหนึ่งถ้าหม้อต้ม (Gas Regulator) หรือหัวฉีดแก๊สเสียจะมีค่าใช้จ่ายตรงนั้นเพิ่มมาอีก ประกอบกับปัจจุบันปั้มแก๊ส NGV เริ่มหาเติมยาก และราคาแก๊สที่สูงขึ้น ทำให้ไม่ค่อยพิสวาทระบบ NGT เหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่ เพราะวิ่งด้วยแก๊สมันก็อืดระดับหนึ่ง ได้ดีแค่ประหยัดเท่านั้นเอง ถอดออกไปเลยก็สิ้นเรื่อง
ถ้าจะถวิลหาความประหยัด ระยะทางที่ใช้ไป 4.6 แสน กม. ผมถือว่าคุ้มเกินคุ้ม คิดง่ายๆ ถ้าใช้แก๊สตก กม.ละ 1 บาท เทียบกับน้ำมัน ตก กม.ละ 3 บาท ส่วนต่าง 2 บาท รถวิ่งเยอะขนาดนี้ ค่าน้ำมันที่ประหยัดไปก็เกือบหนึ่งล้านบาทละครับ สำหรับผมถือว่าเกินคุ้มแล้ว ไม่ใช้แล้วก็ได้ NGT นะ ..
W211 E 200 NGT ใช้เครื่องยนต์ M 271 KE18 ML ที่ให้พละกำลังสูงสุด 161 แรงม้า ถึงแม้จะเป็นเครื่องฝาร่อง แต่พละกำลังถูกจำกัดไว้ที่ Supercharger ที่ใช้ Pulley ที่มีอัตราทดน้อยกว่ารุ่น W211 E 200 Kompressor ในโฉม Facelift ที่มีแรงม้ามากถึง 181 แรงม้า นับว่าเรี่ยวแรงของเครื่องยนต์ E 200 NGT ไม่ได้มีดีเด่นมากมาย เพียงแต่พอใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อพอมานั่งไตร่ตรองให้ดี เครื่อง เกียร์ เฟืองท้าย ก็ผ่านการใช้งานมาพอสมควร การซ่อมบำรุงทุกอย่างแม้ไม่เคยบกพร่อง ทว่าการเวลาและการสึกหรอจากการใช้งานก็ทำให้ปฎิเสธไม่ได้ว่า E 200 NGT คันนี้ก็ยังต้องมีซ่อมบำรุงเรื่อยๆ ตามระยะ ไม่ว่าจะยางฝาวาลว์ซึม ท่อน้ำหลังเครื่องรั่ว ปะเก็นปั้มแวคคั่มเสื่อม และอะไหล่จิปาถะอื่นๆที่เพิ่งเปลี่ยนไป ประกอบกับไหนๆก็ทำรถแล้วทั้งที เปลี่ยนหัวใจใหม่ ไปเลยให้มันแรงขึ้นกว่าเดิม ขับ เร่งแซง มั่นใจ น่าจะตอบโจทย์กว่า จริงไหมครับ?
เมื่อความแรงเป็นเหตุ กิเลสจึงบังเกิด
ตัวเลือกที่ผุดขึ้นมาในหัวมีอยู่ 2 ตัว โดยจะเน้นไปที่เครื่องยนต์ V6 เป็นหลัก และสามารถหาได้ง่าย อะไหล่มีตามเซียงกงทั่วไป และที่สำคัญคือต้องแรงกว่าเดิม
- เครื่องยนต์เบนซิน V6 รหัส M 272 E35 (E 350)
ความจุ 3.5 ลิตร ให้พละกำลัง 268 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ 350 นิวตันเมตร ออกตัวจากความเร็ว 0-100 ใช้เวลา 6.9 วินาที - เครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบ รหัส OM 642 DE 30 (E 320 CDI)
ความจุ 3.0 ลิตร มีม้าให้เรียกใช้งาน 221 ตัว และแรงบิดมหาศาลที่ 540 นิวตันเมตร! ออกตัว 0-100 ในเวลา 6.8 วินาที
ส่วนเครื่องรุ่นไหนจะได้ประจำการ เชิญติดตามได้ในใน EP2. ครับผม
Leave a Reply