EP2. เลือกซื้อหัวตัดให้โดนใจ

ถามว่าตัดสินใจนานไหม จริงๆ แล้วไม่นานเลยครับ ตัวเลือกในใจค่อนข้างชัดเจนและเอนไปทางเครื่อง M 272 ตั้งแต่ตั้งใจคิดจะวางเครื่องใหม่แล้ว

ทำไมถึงเลือกเครื่องยนต์เบซิน V6 (M 272) ?

ด้วยอาชีพที่เราเป็นคนคอยโค้ดดิ้งรถ ส่วนตัวแล้วมักจะได้สัมผัสรถลูกค้าหลากหลายรุ่น ทั้งตัวประกอบในประเทศทั่วไป หรือตัวนำเข้า Option หายาก ล้วนได้สัมผัสมาบ้างแล้วในระดับหนึ่ง

ความประทับใจของเครื่องยนต์ใน W211 จะเป็นความนุ่มนวล สุภาพ น่าเกรงขามของเครื่องเบนซิน V6 บล็อก M 272 ที่เมื่อบิดกุญแจสตาร์ท มันเงียบ และนิ่งมาก จนเราสงสัยว่าเครื่องติดแล้วใช่ไหม ? และเมื่อเร่งออกตัวไป ถึงจะมีความหน่วงเล็กน้อยตามสไตล์เครื่อง NA แต่เมื่อรอบมาแล้วมันก็ไปอย่างเรื่อยๆ เสียงเครื่องอันไพเราะของ V6 นั้นถือว่าดีมากๆ เลยครับ

ถึงมันจะเป็นเครื่อง NA ที่หลายคนมักท้วงติงว่ามันหน่วงตอนออกตัว แต่ขอบอกเลยว่ากว่า 80% มันหน่วงเพราะ Pedal Curve คันเร่งมันเซทไว้ให้หน่วงครับ ถ้าปลด Parameters กล่องแล้ว วิ่งเอาเรื่องอยู่ครับ ลืมกล่องคันเร่งไฟฟ้าไปได้เลย แม้แต่เครื่อง 2.5 ลิตร ก็ยังวิ่งดี เพียงปิด ESP แล้วกระแทกคันเร่งออกตัวในที่กลับรถ การจะทำให้ท้ายกวาดนั้นไม่ยากครับ อันนี้ลูกค้าหลายคนที่ทำไปพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวิ่งกว่าเดิมเยอะมาก คือเราพูดแค่การ Coding นะครับ แล้วคิดดูว่าถ้าไป Remap เพิ่มจะไปได้ขนาดไหน ไม่ต้องไปทำ Throttle Body Reset ให้เสียเวลาเลย

ใจจริงก็แอบมอง E 500 เครื่อง V8 บล็อก M 273 เพราะชอบรถแรงเป็นทุนเดิม แต่โจทย์คันนี้คือทำเน้นใช้งาน และ V222 ที่จอดข้างๆ W211 ในโรงรถ ก็มีพละกำลังตั้ง 476 แรงม้า แรงบิดกว่า 700 นิวตันเมตร ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้ให้ความสนใจที่จะวางเครื่อง M 273 มากครับ ส่วน E 63 AMG นั้นไม่ได้อยู่ในใจมาแต่แรก เพราะชอบทรงรถบ้านเดิมๆ มากกว่าครับ

ตัวเลือกของเครื่อง M 272 ตัวนี้จะมี 3 ขนาดครับ ประกอบด้วย

  • 2.5 ลิตร (E 230 / E 250)
  • 3.0 ลิตร (E 280 / E 300)
  • 3.5 ลิตร (E 350)
  1. มีความซับซ้อนน้อย ช่างส่วนมากคุ้นเคย
  2. อะไหล่หาง่าย ทั้งของใหม่ และของแท้มือสอง
  3. ทนทานในระดับหนึ่ง
  1. กล่องเครื่องชอบเสีย
  2. ท่อร่วมไอดีขากลไกมักจะหักตามอายุพลาสติก
  3. เฟือง Balance Shaft สึกไว (ถ้ายังไม่เคยเปลี่ยนอะไหล่รุ่นปรับปรุงแล้ว)

ตอนแรกมองว่าทำเน้นใช้งาน 3.0 ลิตร น่าจะเพียงพอ เอามา Coding + Remap น่าจะเหลือเฟือ เพราะสูตรนี้ก็ทำให้ลูกค้าอยู่ประจำ มันวิ่งใช้ได้เลย หาเครื่องสภาพสวยๆ ไมล์ประมาณ 5-6 หมื่น กม. ปรากฎว่าช่างที่วางเครื่องแนะนำว่าวางทั้งที ไปให้สุดเลย ขยับอีกนิดไป 3.5 ลิตร เป็น E 350 บริโภคน้ำมันไม่ต่างจาก E 280 (3.0 ลิตร) ด้วย แถมพละกำลังดีกว่าเยอะเลย และราคาไม่ต่างกันมาก เลยตัดสินใจสั่งเซียงกงที่ใช้งานประจำขึ้นไปทำของให้จากประเทศญี่ปุ่น

ด้วยช่วงปลายปี 2566 เศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นถดถอย ค่าเงินถูก แต่ราคาหัวตัดแพงมาก สวนทางกับราคารถในประเทศไทยที่นับวันยิ่งถูกลงจากการมาของรถไฟฟ้า EV อย่างเช่น Tesla, BYD, GWM ทำให้ราคาที่ตั้งไว้ ไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจ แต่สิ่งสำคัญกว่าราคาคือ E 350 สภาพตามสเปคที่ผมกำหนดไป หาไม่ได้เลย ส่วนมากรถจะวิ่งมาค่อนข้างมาก ไมล์ 1 แสนขึ้น ตามอายุของรถด้วย

ดีล(ลับ) กับหัวตัด E 320 CDI

ทางเซียงกงได้เสนอหัวตัดอีกชุดมาเป็นทางเลือก เป็นเครื่องดีเซลเทอร์โบ ชนิด V6 ขนาด 3.0 ลิตร บล็อก OM 642 ในราคาค่าตัวที่แพงกว่า M 272 ประมาณ 1 แสนกว่าบาท

ทีแรกทางผมเฉยๆ เพราะไม่ค่อยชอบเสียงดัง และการสั่นสะเทือนของเครื่องดีเซล และผมก็เคยใช้เครื่องบล็อก OM 646 EVO ใน W211 มาก่อนหน้านี้ ยังไม่รวม OM 651 (E 300 BlueTEC HYBRID) ที่ยังมีในครอบครองอีกคัน นับว่าใจตอนนั้นอยากได้เครื่องเบนซิน V6 ที่เป็น NA มากกว่า

แต่เมื่อกลับไปนอนคิดทบทวน ไมล์ 4 หมื่น กม. ถือว่าน้อยมาก การสึกหรอของเครื่องคงไม่น่าเยอะ ประกอบกับหัวตัดของรถคันนี้เป็นรถที่ขึ้นลานประมูล เกรดต้นๆ (Auction) ไม่ใช่รถที่ชนมา หรือได้รับความเสียหายแล้วขายทิ้งเป็นซากเพื่อแยกอะไหล่ (Junkyard) จึงตัดสินใจ ลอยแพเครื่อง M 272 E35 ไว้ข้างหลัง และเลือก OM 642 แทนเพียงเพราะเหตุผลประการนี้ แม้ว่าราคาค่อนข้างสูง แต่เมื่อต่อรองทางเซียงกงก็ให้ดีลที่ค่อนข้างโอเคและแฟร์มากๆ จึงใช้เวลาเปลี่ยนใจจริงๆ ไม่นานเลยครับ

  1. แรงบิดมหาศาลเท่าเครื่อง V8 แต่ประหยัดเท่า 4 สูบแถวเรียง
  2. อัตราเร่งดี 0-100km/h ใช้เวลา 6.8 วินาที (เร็วกว่า E 350 M 272 3.5 ลิตร 0.1 วินาที)
  3. ธรรมชาติของเครื่องดีเซล CDI ค่อนข้างทน ถ้ารักษาเป็นอย่างดี
  1. การออกแบบปะเก็นออยคูลเลอร์ไม่ดี มักจะรั่ว (เบนซ์มีการเปลี่ยนพาร์ทเพื่อปรับปรุงถึง 3 ครั้ง)
  2. มอเตอร์ M55 สามารถพังได้ จากน้ำมันในท่อเทอร์โบที่ซึมลงไปโดนจากปะเก็นที่เสื่อมสภาพ
  3. ห้องเครื่องแน่นมาก การบำรุงรักษา รื้อ ถอดประกอบลำบาก

เสร็จแล้วจึงได้นัดทางช่างเพื่อเข้ามาทดลองติดเครื่องทดสอบหัวตัด เนื่องจากหัวตัดนี้วิ่งค่อนข้างน้อย และจอดมาเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี จนผมก็อดเอะใจไม่ได้ว่าเครื่องจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เครื่องจะติดได้ไหม หัวฉีด เทอร์โบ จะยังดีหรือเปล่า เพราะอย่าลืมนะครับ เครื่องดีเซลทนมากก็จริง แต่อย่าให้เสีย เสียทีโดนแต่แพงๆทั้งนั้นเลย 555+

นี่คือภาพถ่ายมุมสูงของเครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร ที่ประจำการอยู่ในรุ่น W211 E 320 CDI Avantgarde วันนี้เปิดผ้าใบออกมา ยังคงสวยอยู่ถึงแม้จะแน่นิ่งมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี ที่ปลดประจำการ

เดาจากสภาพ ก็น่าจะตอบได้แล้วใช่ไหมครับว่าสภาพเดิมๆ ดิบๆ ยังไม่ได้ล้าง ถือว่าใช้ได้เลย ชิ้นส่วนหลายอย่างยังอยู่ครบ สายไฟเครื่องไม่โดนรื้อ เรียกว่าหัวตัดนี้สภาพไม่ช้ำ ตรงนี้ผมประทับใจเจ้าของร้านที่เก็บรักษาของได้ดีมากครับ ถ้าเป็นที่อื่นส่วนมากที่มักเจอคือห้องเครื่องจะโดนรื้อถอดอะไหล่ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปกระจุยกระจายแล้ว อันนี้ 90% ยังอยู่ในสภาพเดิม ส่วนไฟหน้าที่หายไป นั่นเพราะผมขอซื้อไปก่อนหน้านั้นนั่นเอง

พบกับการทดสอบติดเครื่องหัวตัด E 320 CDI (เครื่องยนต์ OM 642) วิ่ง 4 หมื่น กม. ได้ใน EP. หน้าครับ มาลุ้นกันว่าเสียงเครื่องจะไพเราะขนาดไหน


Comments

2 responses to “EP2. เลือกซื้อหัวตัดให้โดนใจ”

  1.  avatar
    Anonymous

    ใช้งบประมาณเท่าไหร่ครับ

    1. วางงบไว้ทั้งหมด 350,000 ครับ

      ของเหลวและอะไหล่ที่ใช้ เช่น ท่อน้ำมัน ปะเก็น ซีล เน้นเบิกแท้ทั้งหมด
      ทำใช้ยาวๆเลยครับ อันไหนทำท่าไม่ดีเปลี่ยนใหม่เลย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *